ปัญหาใหญ่ของปี 2568: ทองคำ หรือ คริปโต? 

2025-01-13 | คริปโตเคอร์เรนซี , ทองคำ

ปัญหาใหญ่ของปี 2568: ทองคำ หรือ คริปโต? 

ในปี 2567 ราคาทองคำได้มีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อทองคำได้ทำลายสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นราคาสูงกว่าราคาเปิดต้นปีหลายเท่า ก่อนที่ตลาดบิทคอยน์และคริปโตจะได้รับความสนใจในเดือนสุดท้ายของปี ทองคำได้ได้บันทึกสถิติราคาสูงสุดตลอดกาลที่ $2777.80 ต่อออนซ์ และปิดปีที่ราคา $2606.72 ต่อออนซ์ 

นอกจากนี้ ในช่วงก่อนการเลือกตั้งของสหรัฐฯ บิทคอยน์และเหรียญอื่นๆ ได้มีการพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้สร้างจุดสูงสุดใหม่และได้ทำสถิติสูงสุดที่ $108,268.45 ต่อหนึ่งบิทคอยน์ ภายใต้ความตกตะลึงของนักเทรดคริปโตและนักลงทุน ซึ่งเป็นสิ่งตรงกันข้ามเมื่อเทียบกับสภาพคล่องของคริปโตที่เกิดขึ้นตลอดปีที่ผ่านมา 

อะไรจะเกิดขึ้นในปี 2568 คริปโตจะดิ่งลงหรือยังคงพุ่งขึ้นต่อไป พร้อมแซงหน้าทองคำ และกลายเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่ารวมสูงสุดในตลาดหรือไม่ นักลงทุนยังคงสนับนุนทองคำต่อไป หรือจะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อกลายเป็นวาฬในกลุ่มคริปโต หรือลงทุนทั้งในทองคำและคริปโตพร้อมๆกัน เพื่อศึกษาแนวโน้มของเหรียญและโทเค็น พร้อมกับเก็บทองคำไว้เป็นที่พึ่งทางการเงินที่มั่นคง 

มาร่วมสำรวจประเด็นต่างๆในบทความต่อไปนี้ “ปัญหาใหญ่ของปี 2568: ทองคำ หรือ คริปโต” 

หลายพันปีที่ผ่านมา ทองคำถูกใช้เป็นสื่อกลางในการเก็บรักษาคุณค่าแทนเงิน เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน และเป็นสัญลักษณ์ของความร่ำรวย ในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน ผู้คนจะใช้ทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ภาวะถดถอยเศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งความเสี่ยงทางการเงินระหว่างประเทศ โดยเก็บรักษาทองคำเอาไว้เพื่อการออมและเตรียมความพร้อมสำหรับการลงทุนในอนาคต 

ผู้คนจำนวนไม่น้อยถกเถียงว่าทองคำไม่มีค่าเชิงพื้นฐาน วอร์เรน บัฟเฟตต์ ประธานและซีอีโอของ Berkshire Hathaway ได้วิจารณ์การลงทุนในทองคำ เขามองว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไร้ประสิทธิผล ไม่สามารถสร้างรายได้หรือเติบโตเพิ่มขึ้นตามเวลาได้ 

ทองคำ… มีข้อจำกัดสำคัญสองอย่าง คือ ไม่มีประโยชน์มากนัก และไม่สามารถเพิ่มผลผลิตได้ แน่นอนว่าทองคำมีคุณประโยชน์บ้างในแง่ของการใช้งานทางอุตสาหกรรมและเป็นของประดับ แต่ความต้องการในแง่นี้นั้นมีอยู่อย่างจำกัดและไม่สามารถผลิตในรูปแบบใหม่ๆได้ สามารถพูดได้ว่าหากคุณมีทองคำอยู่หนึ่งออนซ์แล้วเก็บไว้ คุณก็จะยังคงมีทองคำนั้นหนึ่งออนซ์เมื่อเวลาผ่านไป 

  • วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถึงผู้ถือหุ้น – 

อย่างไรก็ตาม ทองคำมีค่ามากกว่านั้น มาสำรวจเหตุผลที่ทำให้ทองคำเป็นสินทรัพย์อันดับ 1 ในแง่ของมูลค่าตลาด 

อัตราส่วนการใช้ทองคำทั่วโลก ในปี 2566
อัตราส่วนการใช้ทองคำทั่วโลก ในปี 2566

ทองคำได้ถูกนำมาใช้ในการผลิตเครื่องประดับมานานกว่า 6,000 ปี โดยหน้ากากของศพที่เป็นสัญลักษณ์ของฟาโรห์อียิปต์ ทุตันคาเมน นั้นสร้างจากทองคำ และในปัจจุบัน ประมาณ 78% ของทองคำที่ถูกค้นพบของทุกปีได้ถูกใช้ในการทำเครื่องประดับ 

ทองคำได้รับการยอมรับมายาวนานว่าเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการทำธุรกรรมทางการเงิน โลหะมีค่าชนิดนี้ถือเป็นที่นิยมมากที่สุดสำหรับการลงทุน รูปแบบการลงทุนที่นิยมได้แก่ เหรียญทอง ทองแผ่น และทองแท่ง 

เพื่อให้การลงทุนในทองคำสะดวกขึ้น บริษัทโบรกเกอร์ได้เริ่มนำเสนอ Gold ETFs ตัวเลือกฟิวเจอร์สและออปชั่นทองคำ และ CFDs ของทองคำ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้การลงทุนในทองคำปริมาณเพิ่มมากขึ้น ทำให้ตลาดมีความเคลื่อนไหวและเพิ่มความต้องการของนักลงทุน 

ทองคำมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ทองคำถูกใช้เป็นสารหล่อลื่นสำหรับชิ้นส่วนเครื่องกลในวงจรไฟฟ้าเพื่อการนำไฟฟ้า และเป็นการเคลือบภายในยานอวกาศเพื่อป้องกันรังสีอินฟราเรดและความร้อนให้กับผู้โดยสาร

ด้วยคุณสมบัติของทองคำในด้านการนำไฟฟ้าได้ดี และความคงทนต่อการสึกหรอ ทำให้ทองคำเป็นวัสดุที่เหมาะสำหรับวงจรอิเล็กทรอนิกส์ วิศวกรจึงใช้ทองคำในปริมาณเล็กน้อยในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายชนิด เช่น โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ เครื่องคิดเลข และอุปกรณ์ GPS เพื่อเพิ่มความทนทานและให้ง่ายต่อการใช้งาน สำหรับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและแล็ปท็อป ทองคำช่วยให้การส่งข้อมูลดิจิทัลเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในปัจจุบัน

จากผลการดำเนินงานที่โดดเด่นของทองคำในปี 2567 ที่มีความเหนือกว่าทรัพย์สินหลักทั้งหมดและพิสูจน์ว่าเป็นตัวกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ ในปี 2567 มูลค่าทองคำได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ 25.5% เนื่องจากเป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพต่อความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นและความผันผวนในตลาด 

ผลการดำเนินงานของทองคำในปี 2567

ต้นปี 2567 ราคาของทองคำเริ่มต้นที่ 1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และต่อมาได้สร้างสถิติสูงสุดใหม่ถึง 40 ครั้ง (ATHs) โดยสถิติล่าสุดคือ 2,777.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันที่ 30 ตุลาคม ธนาคารกลางและนักลงทุนรายย่อยยังได้สะสมทองคำเป็นจำนวนมาก ผลักดันการซื้อไปสู่จุดสูงสุดตลอดกาลที่ประมาณ 1,300 เมตริกตันในช่วงกลางปี 2567 

 USD (oz) EUR (oz) JPY (g) GBP (oz) CAD (oz) CHF (oz) INR (10g) RMB (g) TRY (oz) AUD (oz) 
ราคาวันที่ 30 พ.ย. 2,651 2,509 12,751 2,084 3,711 2,366 76,400 616 91,981 4,065 
ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน 27.6% 33.7% 35.1% 27.7% 35.1% 33.7% 21.4% 28% 50.3% 33.9% 
ราคาเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน 2,366 2,181 11,511 1,848 3,233 2,080 70,268 551 77,621 3,573 
ราคาเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี เทียบกับปี 2566 21.9% 21.5% 31.2% 18.4% 23.4% 19.3% 19.0% 22.5% 67.8% 22.2% 

เมื่อมองไปยังปี 2568 ความคิดเห็นในตลาดเกี่ยวกับตัวแปรหลักของเศรษฐกิจมหภาค เช่น จีดีพี อัตราผลตอบแทน และอัตราเงินเฟ้อ บ่งชี้ถึงการเติบโตที่เป็นบวกแต่ค่อนข้างต่ำ โอกาสในการเติบโตที่เป็นไปได้อาจเกิดจากการซื้อทองคำของธนาคารกลางที่มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ หรือการถดถอยอย่างรวดเร็วของสภาพการเงิน ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนไปใช้สินทรัพย์ที่ปลอดภัย ในทางกลับกัน การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นอาจสร้างความเปลี่ยนแปลงสำคัญ 

ในปี 2568 มีการคาดการว่า สำนักงานกำกับดูแลการเงินของสหรัฐอเมริกา (Fed) จะลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง ซึ่งหมายถึงการลดลงประมาณ 50 ถึง 100 จุดพื้นฐานในช่วงสิ้นปี ตามสถิติที่ผ่านมา ทองคำมักจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6% ในช่วงหกเดือนแรกของรอบการลดอัตราดอกเบี้ย 

แนวโน้มทองคำในปี 2568

นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของทองคำยังได้รับอิทธิพลอย่างมากจากกิจกรรมของธนาคารกลางและความต้องการของเอเชีย โดยเฉพาะจากจีนและอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดทองคำที่ใหญ่ที่สุด โดยทั่วไปแล้วเอเชียคิดเป็นมากกว่า 60% ของความต้องการทองคำประจำปี (ไม่รวมธนาคารกลาง) ในปี 2567 นักลงทุนในเอเชียได้ส่งเสริมการดำเนินการของทองคำอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งปีแรก ในขณะที่ความต้องการในอินเดียพุ่งสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังเนื่องจากการลดภาษีนำเข้า 

ธนาคารกลางเป็นผู้ซื้อทองคำสุทธิมาเกือบ 15 ปีแล้ว โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของทองคำในเงินสำรองต่างประเทศในฐานะแหล่งเก็บมูลค่าในระยะยาว ตัวกระจายความเสี่ยง ตัวทำผลงานในภาวะวิกฤต และสินทรัพย์ที่ปราศจากความเสี่ยงด้านเครดิต ทำให้ทองคำมีความจำเป็น เมื่อปีที่แล้ว การซื้อของธนาคารกลางมีส่วนสนับสนุนการดำเนินการของสินทรัพย์ปลอดภัยนี้ประมาณ 7%-10% 

แนวโน้มทองคำในปี 2568

หากเศรษฐกิจดำเนินไปตามที่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ในปี 2568 ทองคำอาจจะยังคงเปลี่ยนมือในช่วงราคาที่ใกล้เคียงกับช่วงปลายปีที่ผ่านมา 

ในปี 2567 ตลาดคริปโตได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าทึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปีแห่งความผันผวน โดยดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมาก ราคาเหรียญและโทเค็นหลายรายการพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.91 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนธันวาคม 2567 แต่ประสบกับการปรับลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงปลายเดือนธันวาคม เมื่อเฟดประกาศแผนการลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2568 จาก 4 เหลือ 2 แม้ว่าจะมีการปรับลดเพียงเล็กน้อย 0.25% ในเดือนนั้นก็ตาม 

มาดูผู้สร้างผลกำไรที่โดดเด่นที่สุด ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “ทองคำดิจิทัล” แห่งอุตสาหกรรมคริปโทอย่าง บิทคอยน์ โดย บิทคอยน์ เริ่มต้นปีที่ราคาประมาณ $46,100 และลดลงไปแตะ $39,000 ในช่วงสิ้นเดือนมกราคม ราคาของ บิทคอยน์ พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ก่อนเหตุการณ์ Halving และเผชิญกับแนวโน้มขาลงในเดือนถัดมา โดยร่วงจาก $73,097 ก่อน Halving ลงไปต่ำกว่า $60,000 ในช่วงเดือนพฤษภาคมและกรกฎาคม 

บิทคอยน์ ไม่สามารถทะลุ $73,000 จนถึงเดือนตุลาคม เมื่อได้รับแรงหนุนจากการยอมรับในระดับสถาบันที่เพิ่มขึ้นอย่างมากและการเติบโตของกิจกรรมในภาคการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) หลังจากนั้น ราคาของ BTC ยังคงผันผวนก่อนที่จะพุ่งขึ้นเกือบแตะ $98,000 ในช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ ณ วันที่ 17 ธันวาคม บิทคอยน์ พุ่งขึ้นมากกว่า 310% ไปแตะจุดสูงสุดใหม่ที่ $108,268.45 

ผลการดำเนินงานของคริปโตเคอเรนซีในปี 2567
ผลการดำเนินงานของคริปโตเคอเรนซีในปี 2567

 เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา BTC ยังคงรักษาตำแหน่งสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 7 ของโลกตามมูลค่าตลาด และเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ดีที่สุดจาก 10 อันดับแรกของโลก 

Altcoins คือคริปโตที่ไม่ใช่ บิทคอยน์ โดยคำนี้เกิดจากการรวมกันของคำว่า ‘alternative’ และ ‘coin’ ซึ่งหมายถึงเหรียญหรือโทเคนใด ๆ ที่ไม่ใช่ บิทคอยน์ เช่น อีเธอเรียม (ETH), โซลาน่า (SOL), Toncoin (TON) และเหรียญมีม Altcoins มักมีคุณสมบัติที่โดดเด่นและการใช้งานที่หลากหลายมากกว่าแค่การเป็นสื่อกลางในการชำระเงินดิจิทัล โดยมีจุดเด่น เช่น ความเร็วในการทำธุรกรรมที่สูงกว่า ค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น หรือการใช้งานเพื่อความบันเทิง ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนคริปโท และนำไปสู่ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “altcoin season” 

ในปี 2567 นอกเหนือจากดาวเด่นอย่าง บิทคอยน์, อีเธอเรียม และ โซลาน่า ผู้ที่ชื่นชอบคริปโตยังได้เห็นการเติบโตที่สำคัญของ Altcoin หลายตัวอีกด้วย 

ผลการดำเนินงานของคริปโตเคอเรนซีในปี 2567

โทเคน $VIRTUAL ให้ผลตอบแทนราคาสูงสุดถึง 23,079.2% โดยเริ่มต้นปีที่ราคา $0.01311 และพุ่งขึ้นถึง $3.04 ในวันที่ 25 ธันวาคม ตำแหน่งอื่น ๆที่ได้รับกำไรสูงสุดส่วนใหญ่เป็นของเหรียญมีม เช่น Brett, Popcat, Turbo, Fartcoin, ai16z และ Pepe 

MANTRA (OM) อยู่ในอันดับที่สี่ด้วยผลตอบแทน 6,418.3% ซึ่งเป็นการลงทุนในสินทรัพย์โลกจริง (RWA) ที่มีกำไรมากที่สุดแห่งปี และสูงกว่า Ondo Finance (ONDO) ถึง 9 เท่า อีกหนึ่งโทเคนที่ไม่ใช่เหรียญมีมในอันดับนี้คือ Aerodrome Finance (AERO) ซึ่งในปี 2567 สร้างผลตอบแทน 3,139.4% โดยแตะจุดสูงสุดที่ $1.66 ในวันที่ 25 ธันวาคม 

ในปี 2568 ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีความผันผวนที่เพิ่มขึ้นก็ตาม ตลาดขาขึ้นของคริปโทเคอร์เรนซีจะกลับมาอีกครั้ง โดยแตะจุดสูงสุดในระยะกลางในไตรมาสแรก และสร้างสถิติใหม่ในไตรมาสสุดท้าย ราคาของ บิทคอยน์ (BTC) ถูกคาดการณ์ว่าจะพุ่งไปถึง $180,000 – $200,000 ภายในสิ้นปี 2568 เนื่องจากความหายากของเหรียญที่มีจำนวนจำกัดเพียง 21 ล้าน BTC และปัจจุบันมีอยู่ในระบบหมุนเวียนแล้วถึง 19.79 ล้านเหรียญ อย่างไรก็ตาม ความต้องการจากนักลงทุนสถาบันและรายย่อยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีบล็อกเชนและการเข้ารหัส รวมถึงความต้องการในการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น มูลค่าของสินทรัพย์ในโลกจริงที่ถูกแปลงเป็นโทเคนคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันมีหลักทรัพย์ที่ถูกแปลงเป็นโทเคนอยู่บนบล็อกเชนประมาณ 12 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าตัวเลขนี้จะทะลุ 50 พันล้านดอลลาร์ในปี 2568 นอกจากนี้ ปริมาณการชำระเงินรายวันของ Stablecoin อาจแตะถึง 300 พันล้านดอลลาร์อีกด้วย 

แน่นอนว่าปัจจัยเหล่านี้สามารถส่งเสริมการเติบโตของกิจกรรม DeFi ทั้งหมด การซื้อขายในตลาด NFT และมูลค่าของโทเคนสำหรับแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ ผู้คนคาดหวังว่าการซื้อขายในตลาดแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Exchange) จะทะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์ และตลาด NFT จะฟื้นตัวด้วยปริมาณการซื้อขายที่สูงถึง 30 พันล้านดอลลาร์ 

โดยรวมแล้ว การเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกจะนำมาซึ่งสนามการลงทุนที่มีความคึกคักและเปี่ยมด้วยพลังมากยิ่งขึ้น พร้อมโอกาสการลงทุนมากมายสำหรับทั้งผู้ที่ชื่นชอบคริปโทเคอร์เรนซีและนักลงทุนแบบดั้งเดิม 

ภาพรวมการลงทุนในปี 2568 นำเสนอสถานการณ์ที่น่าสนใจระหว่างทองคำและคริปโต ทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ได้รับความไว้วางใจมาอย่างยาวนาน ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าที่น่าเชื่อถือ โดยได้รับการสนับสนุนจากความต้องการของธนาคารกลางและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ในขณะเดียวกัน คริปโต ซึ่งขับเคลื่อนโดยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการยอมรับที่เพิ่มขึ้น กำลังอยู่ในเส้นทางของการเติบโตอย่างก้าวกระโดด พร้อมมอบผลตอบแทนที่สูงให้แก่นักลงทุน แต่ก็แลกมาด้วยความผันผวนที่มากกว่า 

การเลือกลงทุนระหว่างทองคำและคริปโตอาจเป็นความท้าทาย และขึ้นอยู่กับความอดทนต่อความเสี่ยงและกลยุทธ์การลงทุนของแต่ละบุคคล แม้ว่าทั้งสองจะมีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนเชิงบวกในปี 2568 แต่การศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถป้องกันความเสี่ยงและคว้าโอกาสในตลาดการเงินที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต Doo Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ Doo Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-12-26 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

คาดการณ์ ปี 2026 ‘ทองคำและเงิน’ เป็นขาขึ้นหรือขาลง?  

ตอนนี้ทองคำและเงินยังคงเดินหน้าทำลายสถิติใหม่ไม่หยุด เรียกว่าพุ่งทะลุ All-Time High กันแทบจะสัปดาห์เว้นสัปดาห์เลยทีเดียว จากตอนแรกที่ดูเหมือนเป็นการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป กลายเป็นว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงการแรลลี่ที่แข็งแกร่งที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายทศวรรษ จนดึงดูดสายตาทั้งนักลงทุนสายถือยาวและเดย์เทรดให้หันมามองกันหมด  คำถามที่ทุกคนอยากรู้คือ ในปี 2026 เทรนด์นี้จะยังไปต่อได้ไหม หรือราคาเริ่มวิ่งนำหน้าปัจจัยพื้นฐานไปไกลเกินแล้ว?   จนถึงตอนนี้ ปัจจัยต่างๆ ยังคงซัพพอร์ตราคาได้ดี ทั้งแรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลง ความคาดหวังเรื่องดอกเบี้ยที่เปลี่ยนไป ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และความกังวลในค่าเงินฟีแอต ทั้งหมดนี้คือเชื้อเพลิงที่ทำให้ดีมานด์พุ่งสูงขึ้น เมื่อมองไปถึงปี 2026 ตลาดจึงต้องมาเช็คกันว่าแรงส่งเหล่านี้จะยังทำงานอยู่หรือไม่  ทำไมทองคำและเงินถึงทำสถิติสูงสุดใหม่?  การที่โลหะมีค่าพุ่งแรงขนาดนี้ เกิดจากการประสานแรงของปัจจัยมหภาคหลายตัวพร้อมกัน:  พอปัจจัยเหล่านี้มารวมกัน ก็ทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือทองคำและเงิน (ซึ่งไม่มีปันผลหรือดอกเบี้ย) ลดน้อยลง กลายเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและน่าดึงดูดกว่าการเก็บเงินในระบบการเงินปกติ  ในปี 2026 Fed จะลดดอกเบี้ยหนักกว่าเดิมไหม?  คำถามยอดฮิตที่หลายคนเสิร์ชกันคือ “การลดดอกเบี้ยส่งผลยังไงกับทองและเงิน?”  ตอนนี้ตลาดโฟกัสไปที่นโยบายการเงินเฟสถัดไป ถ้าเงินเฟ้อยังคุมได้และตัวเลขจ้างงานชะลอตัวต่อเนื่อง โอกาสที่จะเห็นการลดดอกเบี้ยเพิ่มก็มีสูง ซึ่งตามสถิติแล้ว ช่วงที่ดอกเบี้ยเป็นขาลงมักจะเป็น “สวรรค์” ของทองคำและเงิน โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ที่ตลาดปรับความคาดหวังได้เร็วกว่าตัวนโยบายจริงเสียอีก  ตัวเลข CPI และการจ้างงาน สำคัญแค่ไหน?  สองตัวนี้คือหัวใจหลักของแนวโน้มราคาเลย:  หากเทรนด์นี้ยังอยู่ เราอาจได้เห็นราคาทองและเงินพุ่งรับข่าวล่วงหน้าไปก่อนที่นโยบายจะประกาศใช้จริงเสียอีก  สัญญาณจาก Gold-to-Silver Ratio บอกอะไรเรา?  ดัชนี Gold-to-Silver Ratio คือตัววัดว่าต้องใช้เงินกี่ออนซ์เพื่อซื้อทองคำหนึ่งออนซ์ ตามประวัติศาสตร์แล้ว ค่าเฉลี่ยของดัชนีนี้มักจะต่ำกว่าระดับปัจจุบันมาก ถ้าระดับนี้ยังสูงอยู่ แปลว่าเงิน ยังถูกมากเมื่อเทียบกับทอง ถ้าระดับนี้ต่ำ แปลว่าเงินเริ่มแพงแล้ว   ปัจจุบันดัชนีนี้ยังอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวค่อนข้างมาก ซึ่งสะท้อนว่าที่ผ่านมา “เงิน” วิ่งตาม “ทอง” ไม่ทัน แม้จะไม่ได้ยืนยันว่าราคาต้องพุ่งขึ้นแน่นอน แต่มันชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของมูลค่าที่น่าจับตามอง หากตลาดทองยังพีคอยู่แบบนี้ ส่วนต่างตรงนี้อาจจะแคบลงได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับภาวะมหภาคและพฤติกรรมของนักลงทุนด้วย  เป้าหมายราคาปี 2026: จะไปได้ไกลแค่ไหน?  แทนที่จะฟันธงเป๊ะๆ ตลาดมักจะมองเป็นสถานการณ์ต่างๆ มากกว่า แน่นอนว่าไม่ใช่การการันตี แต่มันคือภาพสะท้อนว่าตลาดเคยทำอะไรแบบนี้มาแล้วในช่วงที่วัฏจักรเศรษฐกิจเอื้ออำนวย  ระวังจุดเปลี่ยนช่วงครึ่งหลังของปี 2026  แม้ช่วงต้นปีจะดูสดใส แต่ต้องระวังตัวแปรที่อาจเปลี่ยนเกมได้ เช่น:  ต้องไม่ลืมว่าโลหะมีค่าวิ่งตาม “ความคาดหวัง” ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ที่ออกมาแล้วเท่านั้น  สรุปแล้ว ปี 2026 น่าซื้อหรือน่าขาย?  ภาพรวมตอนนี้ยังดูเป็นบวก สำหรับทองคำและเงิน โดยเฉพาะในช่วงต้นปี แต่หน้างานก็สามารถเปลี่ยนได้เสมอตามสไตล์ตลาดที่เคลื่อนที่ด้วยปัจจัยมหภาค ปี 2026 จึงน่าจะเป็นปีที่ราคาวิ่งตามสัญญาณนโยบายและข้อมูลเศรษฐกิจแบบติดขอบสนาม ใครที่เป็นสายเทรดต้องติดตามความเชื่อมั่นของตลาดให้ดี 

article-thumbnail

2025-12-18 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ตลาดเกิดอะไรขึ้นในปี 2025? หุ้นเด่น หุ้นร่วง และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 

ถ้าปี 2024 คือการรอจังหวะ ปี 2025 คือการปรับฐานราคาครั้งใหญ่  ตลอดทั้งปี ตลาดมีการสลับสับเปลี่ยนธีมกันไปมาทั้งในแง่ของ :   หุ้นเติบโต (Growth) ชะลอตัวลงพักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาแรงอีกครั้ง  สินทรัพย์ปลอดภัยกลับมาเป็นที่ต้องการ  ความผันผวนยังคงสูงลิ่วในทุกสินทรัพย์  ปี 2025 ไม่ได้มีเทรนด์เดียวที่ชัดเจน แต่มีทั้งผู้ชนะที่โดดเด่น หุ้นที่ร่วงแรง และการเปลี่ยนผู้นำตลาดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว3 อันดับหุ้นที่ทำกำไรสูงสุดในปี 2025   Top 3 หุ้นเด่น ประจำปี 2025  แม้ว่ากลุ่มผู้นำในตลาดจะหมุนเวียนไปมาตลอดปี แต่มี 3 หุ้นที่ดึงดูดความสนใจได้อย่างต่อเนื่องและทำผลงานได้ดีกว่าตลาดโดยรวม  Micron Technology (MU)  Micron (MU) พุ่งขึ้นราว 200% จากจุดต่ำสุดในปี 2025 ถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในปีนั้น  Micron ได้รับแรงหนุนหลักจากความเชื่อมั่นครั้งใหม่ในวงจรเซมิคอนดักเตอร์ ทั้งราคาหน่วยความจำที่นิ่งขึ้น ความต้องการที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่ทำให้มองเห็นอนาคตได้ชัดเจนขึ้น และความคาดหวังเกี่ยวกับการลงทุนรอบใหม่ (capex) ช่วยเปลี่ยนมุมมองนักลงทุน ผลงานของ MU สะท้อนธีมใหญ่ในปี 2025 คือ ความแข็งแกร่งแบบเลือกสรรในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ไม่ใช่การเหมาซื้อทั้งกลุ่ม  Palantir Technologies (PLTR)  Palantir Technologies (PLTR) ทะยานขึ้นกว่า 200% จากจุดต่ำสุดในปี 2025 คล้ายกับ MU  Palantir ยังคงเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีคนพูดถึงมากที่สุดแห่งปี การมุ่งเน้นที่สัญญาภาครัฐ ซอฟต์แวร์องค์กร และการวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทำให้มันยังอยู่ในความสนใจแม้ในช่วงที่หุ้นเทคโนโลยีโดยรวมมีการปรับฐาน ความแข็งแกร่งของ PLTR ตอกย้ำว่า โมเดลรายได้ประจำและกรณีการใช้งานที่ชัดเจน คือสิ่งที่ตลาดให้รางวัลเมื่อนักลงทุนเลือกสรรมากขึ้น  Advanced Micro Devices (AMD)  AMD ได้เปรียบจากการวางตำแหน่งในตลาดศูนย์ข้อมูล (Data Centers) อีกทั้งยังมี AI และคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง แม้ว่าการแข่งขันในตลาดชิปจะดุเดือด แต่ AMD ก็สามารถรักษาความเกี่ยวข้องในกระแส AI ได้ และหลีกเลี่ยงการแกว่งตัวของความเชื่อมั่นอย่างรุนแรงที่เห็นในหุ้นเก็งกำไรอื่นๆ3 อันดับหุ้นที่ขาดทุนสูงสุดในปี 2025 […]

article-thumbnail

2025-12-12 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

Santa Claus Rally ส่อแววสะดุด: ทั่วโลกลุ้นการตัดสินใจของเฟด 

สำคัญ: เนื้อหานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับ Santa Claus Rally เท่านั้น และไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์และ CFD มีความเสี่ยงสูงต่อการขาดทุน  เทศกาลแห่งความสุขมาถึงแล้ว พร้อมกับสิ่งที่ชาววอลล์สตรีทรอคอย นั่นคือ Santa Claus Rally (ปรากฏการณ์หุ้นขึ้นส่งท้ายปี)  แต่ปีนี้ ความสุขนั้นอาจต้องเจอทางตัน เพราะมีด่านสำคัญคือ การตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยของเฟด ในวันที่ 11 ธันวาคม ทำให้นักเทรดทั่วโลกตั้งคำถามเดียวกันว่า เฟดจะยอมเปิดทางให้เกิด Santa Claus Rally หรือจะดับฝันนี้ลง?  ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกว่าเฟดจะชี้ชะตาเดือนธันวาคมได้อย่างไร เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการแรลลี่รอบนี้คืออะไร และทำไมมันถึงมีสถิติที่น่าสนใจขนาดนี้  Santa Claus Rally คืออะไร?  Santa Claus Rally หมายถึงช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวเป็นขาขึ้นตามประวัติศาสตร์ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคมยาวไปจนถึงสองวันแรกของเดือนมกราคม นี่คือหนึ่งในเทรนด์ตามฤดูกาลที่โด่งดังที่สุดของวอลล์สตรีท โดยมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของบรรยากาศการลงทุน, แรงขายเพื่อลดหย่อนภาษีที่น้อยลง, การมองโลกในแง่ดีช่วงวันหยุด, และปริมาณการซื้อขายที่เบาบางลง  ทำไมถึงเกิดขึ้น  นักวิเคราะห์ตลาดมักชี้ไปที่ปัจจัยผสมผสานเหล่านี้: แม้สาเหตุที่แท้จริงจะยังเป็นที่ถกเถียง แต่ข้อมูลผลตอบแทนนั้นยากที่จะปฏิเสธ  สถิติย้อนหลัง: ธันวาคมคือหนึ่งในเดือนที่แข็งแกร่งที่สุดของตลาด  1. ผลตอบแทนเฉลี่ย +1.3% นับตั้งแต่ปี 1927  ทำให้ธันวาคมเป็นเดือนที่แกร่งที่สุดเดือนหนึ่งของปี ชนะกันยายนที่มักจะแย่ที่สุดแบบขาดลอย  2. โอกาสชนะสูงถึง 72.5% เกือบ 3 ใน 4 ของเดือนธันวาคมในอดีต จบลงด้วยการปิดบวก (เขียว)  นี่คืออัตราการชนะที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนอื่นๆ โดยเกือบ 3 ใน 4 ของเดือนธันวาคมปิดตลาดในแดนเขียว  นี่คือเหตุผลที่เทรดเดอร์ชอบพูดว่า: “เมื่อซานต้ามาเยือนวอลล์สตรีท หุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้น”  ทำไม Santa Claus Rally ถึงมีความเสี่ยงในปี 2025?  ปกติแล้ว ปัจจัยฤดูกาลจะช่วยดันตลาดได้สบายๆ ตราบใดที่ไม่มีอะไรใหญ่ๆ มาขวางทาง แต่ปีนี้มี “ก้อนหินก้อนใหญ่” ขวางอยู่  นั่นคือ “ประชุมเฟด 11 ธันวาคม”  ตลาดไม่ได้แค่จับตามอง แต่กำลัง “กลั้นหายใจ” ลุ้นตัวโก่ง  ทำไมเฟดถึงคุมเกมรอบนี้:  1. ลดดอกเบี้ย vs คงดอกเบี้ย : สถาการณ์ตลาดขึ้นอยู่กับสิ่งนี้   ถ้าเฟดส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยต้นปี 2026 สินทรัพย์เสี่ยงจะพุ่งทยานแน่ๆ (คอนเฟิร์ม Rally)   แต่ถ้าเฟดมาสายแข็ง (Hawkish) เตือนเรื่องเงินเฟ้อ การแรลลี่อาจกลายเป็นการเทขายหนีตายแทน  2. นักลงทุนต้องการความชัดเจน  หุ้นที่ขึ้นมาตอนนี้ยังดู “กล้าๆ กลัวๆ” ถ้าเฟดให้สัญญาณ “ไปต่อ” เงินที่รอนอกสนามจะไหลกลับเข้ามาทันที  3. Bond yields คือตัวกำหนด  yields ต่ำ = หุ้นวิ่ง   yields สูง = กดดันหุ้นเทคและสินทรัพย์เสี่ยง   ซึ่งคำพูดเฟดจะสั่งซ้ายหันขวาหันให้ยีลด์ได้ทันที  ตลาดต้องการอะไรจากเฟด เพื่อฉลองให้กับ Rally?  เพื่อให้กราฟพุ่งรับปีใหม่ นักลงทุนขอแค่:  1. โทนที่ผ่อนคลาย  แค่ยืนยันว่า “ขาขึ้นดอกเบี้ยจบแล้ว” ก็พอใจแล้ว  2. คลายกังวลเงินเฟ้อ  ถ้าเฟดมองว่าเงินเฟ้อลงอย่างยั่งยืน ตลาดจะกล้าลุย  […]